เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2565 ที่บริเวณทางม้าลายหน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์
ถนนพญาไท กรุงเทพมหานคร เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของ ส.ต.ต. นรวิชญ์ บัวดก อายุ 21 ปี พุ่งชนแพทย์หญิงวราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล อายุ 33 ปี ด้วยความเร็วสูงจนถึงแก่ความตาย
[1] หลังเกิดเหตุผู้ก่อเหตุได้เข้าพิธีอุปสมบทและเดินทางไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพในช่วงเย็นวันเดียวกัน ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุใดผู้ต้องหาคดีอาญาจึงอุปสมบทได้
[2] จนเจ้าอาวาสวัดต้องให้พระนรวิชญ์สึกในวันต่อมา
[3]ต่อมา เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบว่าผู้ต้องหาขี่รถด้วยความเร็ว 108-128 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด
[4] หลังจากนั้นในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ศาลอาญาได้พิพากษาจำคุก ส.ต.ต. นรวิชญ์ (จำเลย) 1 ปี 15 วัน และปรับเงินผู้ต้องหาเป็นจำนวน 4,000 บาท
[5] ซึ่งทางครอบครัวของ พญ.วราลัคน์ เห็นว่าคำพิพากษาเป็นไปตามคาดการณ์ แต่ไม่ใช่ที่คาดหวัง ชี้กรณีนี้ร้ายแรงกว่าคดีประมาททั่วไป เพราะผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ควรได้รับโทษสูงกว่านี้
[6]ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2567 ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า "โทษที่ศาลชั้นต้นลงแก่จำเลยมานั้นเบาเกินไป ไม่เหมาะสมและไม่ได้สัดส่วนกับความร้ายแรงของการกระทำความผิดของจำเลยและอัตราโทษที่กำหนดโดยกฎหมาย มิฉะนั้นคงไม่มีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดในฐานนี้ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ที่จะลงโทษหนักกว่านี้ได้"
[7] ได้ตัดสินเพิ่มโทษจำคุกในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
[8] เห็นควรวางโทษจำคุกจำเลย 10 ปี และความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น เห็นควรให้ระวางโทษจำคุก 2 เดือน รวมเป็น 10 ปี 2 เดือน ภายหลังเกิดเหตุจำเลยมิได้หลบหนีและให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาลตลอดมา
[7] จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ 5 ปี 1 เดือน โดยไม่รอการลงอาญา
[9] อย่างไรก็ตาม ส.ต.ต. นรวิชญ์ (จำเลย) ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างฎีกา
[10]ในส่วนของคดีแพ่ง ศาลแพ่งอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2567 ให้ส.ต.ต. นรวิชญ์ (จำเลยที่ 2) ชดใช้เป็นเงิน 27.3 ล้านบาท แต่ได้ยกฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จำเลยที่ 1) ไม่ต้องร่วมรับผิด
[11]เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของคนเดินเท้า การบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย และการสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางเป็นอย่างมาก
[12] และนำมาสู่การปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจราจรในประเทศไทย
[13]